วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Tease in The Mist



Tease in The Mist มีแต่หมอกไม่มีดอกกระเจียว

6 กรกฎาคม 2552
ตื่นตั้งแต่ตี 5 ขับรถออกจาก สีคิ้วไปทุ่งกระเจียวแต่เช้า

ขึ้นไปบนผาสุดแผ่นดิน
ขาไปว่าจะหาของกินใกล้ๆแถวนั้น ขับรถไปเกือบถึงอุทยานไม่มีวีแววว่า จะมีของกินเนื่องจากยังเช้าอยู่มาก ใจร้อนเลยแวะกินมาม่าถ้วย 1 ถ้วย ที่ปั๊มน้ำมันสายรุ้ง
กินเสร็จขับรถต่อไป เหมือนถูกเยยเยาะบวกกับการสมน้ำหน้าจากร้ายขายอาหารเช้ารายทางตั่งแต่ ไก่ย่าง ข้าวหลาม ข้าวเหนียวหมูทอด และร้านอาหารมากมาย
นี่แหละเค้าเรียกว่า ทำบุญของเหลือ ได้กินของไม่ดี สมซะ
ถึงอุทยานผาหินงาม โอ้วันนี้วันอาทิตย์วันหยุด มะรืนนี้กับอีกวันก็เป็นวันหยุดอีก วันอาสฬหะบูชา กับ วันเข้าพรรษา หยุดยาว มีคนแห่มาชมทุ่งกระเจียวโดยมิได้นัดหมาย

มีเม็ดฝนตกลงกบาลนิดหน่อยตอนเข้าคิวขึ้นรถ (เป็นรถเหมือนรถนั่งในสวนสนุก) ไปชมทุ่งกระเจียวละนะ หลั่นลัลลา คนเยอะจังเลยคิดถูกมั้ยเนี้ยจะมาถ่ายรูป คนเยอะมากมาย หนอนยังอายเลยนะ
ขึ้นรถมาไม่ถึง 5 นาที ถึงที่หมาย โอ้โหทางไปสุดแผ่นดิน ได้ถ่ายรูปแล้วละ อะอะ กดเลยละกัน มัวแต่เพลินกับการถ่ายหมอก ถ่ายวิว ตรงผาสุดแผ่นดิน มีเม็ดฝนลงกบาลอีกแล้ว ต้องถอยก่อน

ออกมานั่งพักเหนื่อย เดินออกไปสักหน่อยก็เห็นมีป้ายบอกทางไปผาก่อรัก วงเล็บไว้ด้วย 800 เมตร แอะๆ ชื่อเป็นมงคลดี ผาก่อรัก ว่าแต่ว่าแอทำไม ไม่มีคนเดินไปเลย ถ้าจะไปกันสองคนกับ "น้องลี" มีอะไรขึ้นมา เราจะปกป้องน้องลี หรือ น้องลี จะปกป้องเราดีเอ่ย ติ๊กต่อก ๆ ทันใดนั้นเอง ก็มีหนุ่มสาว น่ารักและท่าทางเป็นมิตร เหมือนกับว่า พี่เราไปผาก่อรัก กันมั้น ภาษากายและท่าทางบอกอย่างนั้น เอาเลยไปกัน

โอ 800 เมตร แบบขาลง ไกลพอได้เหงื่อ และหิวข้าวเหมือนกันนะ พอไปถึงผาก่อรักก็หายเหนื่อยหายหิว ก็ได้ถ่ายรูป ดอกไม่ป่ามาบ้าง และก็อีกเช่นเคย วิวและ หมอกและ เด็ดถือร่ม เราอยู่ตรงนี้สักครู่ ก็ต้องกลับขา กลับ โอย "ม่ามา" ที่กินประทังหิว เมื่อมื้อเช้าก็หมดฤทธิ์ซะแล้ว ต้องเดินกลับแบบขาขึ้น 800 เมตร โอ่ พระเจ้า ลมแทบใส่ มานั่งรอพักที่ ร้านค้าดื่ม ไวตามิล ไป 1 ขวด ยังไม่ทันหายเหนื่อยดีเลย ฝนตก หมอกก็ลงอย่างหนา เรากลับบ้านเถอะน้องลี ฝนก็ตกแรงขึ้น (อดรับประทานเลย) ไม่ได้ถ่ายกระเจียวสักดอด
ชมวิว ชมหมอกละกันงานนี้ ไม่มีกระเจียว


ด้วยรัก

นิโรจน์ ศรีประสิทธิ์

BIG Digital Day Workshop 2009




BIG Digital Day Workshop 2009 วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม 2552 ได้สิทธิ์ฟรีจากการเสียตังค์ซื้อกล้องถ่ายรูป (อันนนี้ฟรีจริงเพราะราคากล้องเท่าเดิมของแถมก็ได้เหมือนเดิม) ที่ Big Camera ให้ไปอบรมถ่ายภาพ BIG Digital Day Workshop 2009 กับ วิทยากรจาก focusing club ผมจองไว้เป็นเดือนพฤษภาคมนี้ วันอาทิตย์ที่17 พอดีดันไปตรงกับที่ แกงค์ร่อยหลอ ออกทริปที่ เขายายเที่ยง ทำไงละมาถึงทาง 2 เพร่งแล้วก็เลยต้องเลือกเอาว่าจะไปสนุกที่เขายายเที่ยงหรือ ไปเพิ่มรอยหยักในสมองวะกรู คิดตกว่าเขายายเที่ยงใกล้แค่นี้เองวันหน้าไปกับเด็กถือกล้องก็ได้ เลยทิ้งความสำมะหลาฮาเฮไปเรียนรู้การใช้กล้องละกัน

วันอาทิตย์ น้องลี (เด็กถือกล้อง) และผมเลยต้องละเห็ดจากบ้านพักตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง วันนี้เป็นวันหยุดในโรงงานเงียบมาก มีแต่เสียงแมลงร้องความมืด ออกจากโรงงานก็ขับรถดิ่งมาเลย เรามาแวะกินข้าวเช้ากันที่ ปั๊มน้ำมันแถวรังสิต จากนั้นขับรถต่อไป มหาวิทยาลัยเซ็นต์จอนห์ ผมพึ่งรู้ว่า เซ็นต์จอนห์เดี๋ยวนี้เป็นหมาวิทยาลัยแล้วเมื่อก่อนยังเป็นแค่อาชีวะเท่านั้น ขับรถมาถึงแยกลาดพร้าว โอ้โอ่...หาทางเขาเซ็นต์จอนห์บ่เจอ ทางมันตัดกันเยอะขึ้น มีทั้งข้างบนข้างล่าง แยกก็มีตั้งห้าแยก ทำไงดีระหว่างคิด ปรากฏว่าต้องเลยไปยูเทินร์ที่แยกดินแดงแล้วกลับมาใหม่กว่าจะมาถึงห้องลงทะเบียนได้ เล่นเอางงเต็ก ถนนมันทำไมไหง ยุ่งอีรุงตุงนังอย่างงี้ จะว่าไปตรงนี้เมื่อก่อนสมัยเรียนอยู่ไทยวิจิตรศิลป์ก็แบบว่ามาเดินสูดแอร์ในห้างเซ็นทรัลออกจะบ่อยมาถึงยุก 2009 ทางแยกไมเยอะขนาดนี้หรือว่าเมืองไทยเจริญแล้วหว่า

การอบรมคอสนี้แบ่งเป็น 2 ช่วง คือเช้ากับบ่าย ช่วงเช้า สอนการใช้กล้องทั่วไปให้รู้จักปุ่ม และฟังชั่นต่างๆของกล้อง วิทยากรสอนดีใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย บวกกับว่ามี สไลด์ประกอบการสอนด้วยสรุปในช่วงเช้า ที่จับประเด็นสำคัญคือ จะถ่ายรูปให้ออกมาสวย ต้องรู้จักใช้กล้องที่มีให้คล่อง คล่องแบบที่เรียกว่าปุ่มไหนใช้ทำอะไรฟังชั่นไหนอยู่ตรงไหนใช้อย่างไรต้องรู้ให้หมด วิทยากรบอกว่าบางคนซื้อกล้องมายังไม่รู้ว่า การ์ดที่ใช้เก็บข้อมูลยังไม่รู้ว่าจะถอดเปลี่ยนยังไงเลย ฟังดูแล้วชวนให้คิดตาม สมัยนี้กล้องดิจิตอลราคาถูกกว่าก่อนมาก มีเงินอยากถ่ายรูปก็ไปซื้อกล้องกันมา แต่ไม่ค่อยศึกษาหรืออ่านคู่มือกัน สุดท้ายถ่ายรูปมาเอามาดูกันก็ไม่มีรูปสวย เลยลงเอยก็เก็บกล้องไว้ไม่เอาออกมาถ่าย เลยใช้กันไม่คุ้มกัน นี่แหละนี่แหละคิดก่อนใช้

บ่ายอบรมเรื่องการจัดองค์ประกอบภาพ อาจารย์วิทยากรเปิดฉากการสอนได้สนุกมาก ทั้งที่ช่วงบ่ายง่วงนอนมากแต่ก็นั่งฟังบรรยายติดตามด้วยความอยากรู้จนจบ หลังจากนั้นก็ได้ออกไปถ่ายรูปกัน ก็เอาความรู้จากทฤษฏีที่ได้เก็บเกี่ยวกันมา ก็ออกมาถ่ายกำหนดหัวข้อ landscape และ Portrait ตรงนี้ก็สนุกมากนางแบบก็โอตรงนี้ชมมากไม่ดีเดี๋ยวมีคนมาแอบอ่าน (เด็กถือกล้องงอนก็แย่) แต่แสงสิ ไม่เป็นใจเลย ถ่ายกันได้ไม่ถึงชั่วโมงแสงก็หมด เนื่องจากฝนเทลงมา ต้องใช้คำว่าเท เพราะแบบว่าตกหนักมาก จากนั้นทำไงละวงแตก ก็แยกย้ายกัน บ้านใครบ้านมัน วันนั้นกลับถึงบ้านพักก็ปาไป สามทุ่มกว่า

ปล. แอร์ในห้องบรรยาย หนาวโครตๆ วันนั้นทั้งวันต้องขอขอบคุณ คุณอังคณา (ภรรยาและเด็กถือกล้องของผม) เป็นอย่างยิ่งมี่มานั้งเฝ้าผมทั้งวันด้วยความห่วงใย และเป็นเพื่อนตลอดเส้นทางทั้งขามาและขากลับหาไม่ได้อีกแล้ว

ด้วยรัก
นิโรจน์ ศรีประสิทธิ์
18 พฤษภาคม 2552

วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

จากเขาใหญ่ถึง ท่างอย




08 พฤษภาคม 2552



เมื่อวานลางานครึ่งวันบ่าย ขี้เกียจทำงาน ออกไปถ่ายรูปกับคุณกฤตยชญ์ ที่ เขาใหญ่ ไม่ได้บอกน้องลี ล่วงหน้า
เธองอน และโกรธมาก ผมรู้สึกผิด ไม่อยากไปเลยคิดระหว่างรอรถมารับ

กฤตยชญ์มารับทีบ้าน มีเด็กๆผู้ชาย (ไม่เด็กแล้วละ วัยรุ่น) ไปด้วย 5 คน ขับรถปิคอัพไปถึงเขาใหญ่ บ่ายสองได้มั้ง แวะไปบ่อน้ำผุด ถ่ายรูปมาได้รูปเดียว อารมณ์ขุ่นมากไม่แฮปปี้เลย

หลังจากนั้นก็ขึ้นไปน้ำตกเหวสุวัต ตอนนั้นมีคนบ้างพอสมควร เดินลงไป ต้องยอมรับเลยสังขารบอกว่า "กูจะไม่ไหวแล้วนะมึงมาทำอะไรเนี่ย" ลงไปข้างล่างตรวน้ำตก
ก็ต้องนั่งพักสังขาร ผ่อนคลายชั่วขณะ ไอ้ก้อยเนื้อที่มันเต้นจังหวะแร็ปอยู่ข้างในหน้าอกค่อยสงบลงได้หน่อยหนึ่ง แต่ก็ยังรู้สึกว่าขามันเบาๆ มันยังไม่อยากขยับเท่าไร
ต้องบอกมันว่า "เฮ้ย ! ขาเอ๋ย ถ้ามึงไม่ขยับแล้วกรูจะไปไงครับ"
พอลงมาได้ก็จัดแจงมองหาที่ทางเพื่อหาที่ตั้งกล้อง ส่วนพวกเด็กๆ กับไอ้กฤตยชญ์ ก็ไปโน้นแล้ว ลอกคราบลงเล่นน้ำ นึกถึงตัวเองตอนเด็กๆเลย ถ้าเจอออย่างนี้
รับรองต้องได้โดดน้ำเล่นจนปากเขียวแน่

ตรงนี้ได้ถ่ายรูปไปบ้างแต่ไม่เยอะมุมมันซ้ำๆ กัน และวันนั้นตรงนี้มีกลุ่มช่างภาพมาถ่ายรูปกันด้วย มีนางแบบคนไทยแต่งเป็นชุดเจ้าสาวสีขาว และนายแบบฝรั่ง
แต่งเป็นจ้าวบ่าว ก๊วนนี้มากันก่อนถ่ายรูปกันอยู่แล้ว เดินลงมาก็เจอเลย เขาใจว่ามาถ่ายแฟชั่นหรือโฆษณา แต่กฤตยชญ์บอกว่าน่าจะถ่ายแต่งงานจริงๆ อืม... ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ต้องยอมรับ ว่าแน่ลงทุมมาถ่ายรูปแต่งงานที่น้ำตกเหงสุวัต เขาใหญ่

อยู่ตรงนี้ประมาณครึ่งชั่งโมง ก็กลับ ขาขึ้นกลับที่จอดรถ โอย...ต้องบอกว่านี่แหละ ของจริง ทั้งเหนื่อยทั้งหิว ตอนลงมาหัวใจยังเต้นจังหวะแร็ปเลย บอกกับตัวเองว่า ลงมาได้ก็ต้องขึ้นไหว ขาขึ้น ต้องหยุดพัก 3 ครั้งไม่หยุดพัก มีหวัง ได้ไปเกิดใหม่แน่

มาถึงที่จอดรถ ต้องนั่งทำสมาธิปล่อยให้ใจ และกายหยาบรับรู้ถึงความทุกข์ซะให้เพียงพอ พอหายเหนื่อยก็ไปกัน
จุดหมายต่อไปคือ ท่างอย กะว่าจะไปถึงที่ท่างอยประมาณแสงทไวไลท์ แต่ที่ไหนได้ ถูกทัศนียภาพอันเย้ายวนของทุ่งหญ้าข้างทางตรงหนองผักชี เชื้อเชิญให้ลงไป กดชัตเตอร์ แชะ แชะ แชะ แชะ กดซะให้พอ

หลังจากนั้นก็บึงรถไป ที่ท่างอย ถึงท่างอย ก็ปาไปหกโมงกว่า แสงทไวไลท์ แทบไม่เหลือ ฝนที่เพิ่งหยุดตกไปก่อนหน้า ทำซะท่างอย หงอยเหงา
ถึงตรงนี้เหมือนรู้ว่าแสงจะหมดเดี๋ยวอดรับประทาน พอลงจากรถได้ ก็หิ้วขาตั้งกับกล้อง ลงไปได้ก็ กด กด กด กด กด จนแสงหมด ก็ขึ้นรถกลับกัน ลาก่อนท่างอย

จบก่อนท่างอยวันหงอยเหงา
ด้วยรัก
นิโรจน์ ศรีประสิทธิ์

เว็บของนาย กิมลั้ง



เว็บของนาย กิมลั้ง เป็น เว็บเพื่อตอบสนองความต้องการของนายกิมลั้ง เนื้อหาในนี้จะบอกให้รู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ละช่วงของเวลาของเขาเป็นอย่างไร
อาจเป็นเรื่องสัพเพเหระ บ้าบอ ส่วนตัว งานที่ทำ กิจกรรมต่างๆที่ทำอยู่ หรือที่กำลังสนใจ แน่นอนว่าตอนนี้ยังไม่เกิดขึ้น เอาเป็นว่ามีเรื่องอะไรที่พอเป็นสาระบ้างก็จะเอมาใส่ไว้ละกัน

ด้วยรัก
นิโรจน์ ศรีประสิทธิ์